เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๔ ก.ค. ๒๕๔๗

 

เทศน์เช้า วันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๔๗
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

แล้วพูดถึงว่ากลับไปภาวนาก่อน ภาวนาอะไร เวลาเขาภาวนา เขาภาวนาอะไร หลวงปู่ฝั้นบอกนะ บอกเวลาโยมนี่เวลาพูดธรรมะนี่สูงส่งสุดขอบฟ้าเลย แต่แม้แต่ผมบนศีรษะเขา เขายังสละไม่ได้เลย เขาสละสิ่งนั้นไม่ได้ เห็นไหม

ธรรมะการจำมาน่ะ คนจะจำมาได้ขนาดไหน ตอนนี้คอมพิวเตอร์มันจำได้ดีกว่า พระไตรปิฎกในคอมพิวเตอร์กดตรงไหนก็ได้มันรู้ได้ดีกว่า แต่คอมพิวเตอร์มันมีความรู้สึกไหมล่ะ มันมีความทุกข์ความสุขไหมล่ะ เวลามันดีมันใช้ทำงานได้ มันก็ทำงานได้ ถ้ามันชำรุดมันเสียหาย มันก็ทำงานไม่ได้ มันก็เป็นเศษขยะของเทคโนโลยีอันหนึ่งเท่านั้นเอง

อันนี้ก็เหมือนกัน เราจำธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ขนาดไหน ถ้าไม่ได้ชำระกิเลสเลย เห็นไหม ว่านกแก้วนกขุนทองไง นกแก้วนกขุนทองมันก็ว่าแม่ๆ เรียกพ่อเรียกแม่แล้วเจ้าของก็ให้ ให้อาหารมัน นั้นนะเป็นความเห็นอย่างนั้นแต่มันไม่เข้าใจใช่ไหม

แต่ว่าถ้าเป็นภาคปริยัติ เห็นไหม ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หลวงปู่มั่นเทิดทูนไว้บนศีรษะ แม้แต่อักษรทุกตัวอักษรที่เขาใช้พิมพ์หนังสือ เพราะมันเป็นการสื่อธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำไมองค์หลวงปู่มั่นถึงเคารพกราบไหว้แม้แต่ตัวอักษรที่จะออกมาเป็นตัวหนังสือ ที่จะออกมาเป็นพระไตรปิฎกล่ะ

นี่ความซึ้งใจของผู้ที่มีธรรมในหัวใจ มันเคารพขนาดนั้นนะ เคารพแม้แต่ตัว อักษรแม้แต่ตัวเดียว มันก็เป็นการสื่อธรรมะให้หัวใจเราได้รับรู้ สิ่งที่เรารับรู้นี่อันนี้สื่อมาเพื่อเป็นธรรมไง แต่ถ้าพูดถึงจำมาเป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วกิเลสมันบังเงา เอาสิ่งนี้ไปคะคานกัน เอาสิ่งนี้ไปกดขี่กัน เห็นไหม ฉันมีความรู้สูงกว่า ฉันมีความรู้ต่ำกว่า ฉันมีความรู้ เห็นไหม ทิฏฐิมานะมันมีสภาวะแบบนั้น

ในพระไตรปิฎกพูดไว้เองนะ ว่าการศึกษาธรรมะนี่ถ้าศึกษามาเป็นประโยชน์ มันจะเป็นประโยชน์มาก แต่ถ้าศึกษาธรรมะโดยมือนะไปกำหญ้าคาแล้วถอนหญ้าคา หญ้าคามันจะบาดมือมาก นี่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เหมือนกัน ถ้าไปศึกษามาเพื่อจะมากดขี่กัน เพื่อจะมาเอาดีเอาเด่นกัน มันเป็นเพื่อกิเลสทั้งนั้น มันจะเป็นธรรมะเป็นประโยชน์ เพื่ออะไร เป็นเพื่อกิเลสให้มันถือตัวถือตนให้สูงขึ้นไปล่ะซิ ถือตัวถือตนว่าฉันรู้มาก ฉันเข้าใจมาก

นี่โปฐิละๆ เขาสอน เขามีพระลูกศิษย์เป็น ๕๐๐ นะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าคัมภีร์เปล่าๆ เห็นไหม เหมือนกับคอมพิวเตอร์เดี่ยวนี้มันท่องจำได้หมด มันรู้ได้หมดขนาดที่ว่าเป็นผู้ที่แตกฉานในพระไตรปิฎก ลูกศิษย์ถามข้อไหนจะตอบได้หมดเลย แต่ไม่สามารถแก้กิเลสได้เลยนะ จนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า

“ใบลานเปล่า”

ด้วยความสะเทือนใจนะ เขายังดีอยู่ เขาได้มีความสะเทือนใจ เห็นไหม สะเทือนใจเพราะพระนี่มันจะรู้กันว่าสำนักปฏิบัติ สำนักปริยัติอยู่ไหน เห็นไหม นี่ตกกลางคืนเก็บบริขารออกแล้วไปหาที่สำนักปฏิบัติไง ไปกราบขอให้เขาสอนกรรมฐาน แม้แต่หัวหน้านะ เขาบอกว่า

“สอนไม่ได้หรอกเพราะความรู้ของเรา พระป่านี่มีแต่การประพฤติปฏิบัติโดยตรง มันจำทฤษฏีไม่ได้อย่างนั้น สอนไม่ได้หรอก ความรู้น้อย”

ก็เลื่อนไปทีละองค์ๆ จนสุดท้ายถึงเณรน้อยนะ แม้แต่เณรนี่เณรถึงองค์สุดท้ายแล้วปฏิเสธไม่ได้แล้ว เณรน้อยบอกว่า

“ถ้าจะสอนนี่ว่าจะเชื่อไหม ถ้าจะเชื่อนี่ต้องฟังกันก่อน”

ให้ห่มผ้าแล้วเดินลงน้ำ เดินลงไปในน้ำเลยนี่ พอเดินลงไปในน้ำจนจีวรจะเปียก บอกให้หยุด เห็นไหมให้หยุด มันต้องมีการเชื่อไง มีการเชื่อ นี่ที่ว่าต้องติดครูติดอาจารย์กันก่อน ถ้าครูบาอาจารย์องค์ไหนเราลงใจ ครูบาอาจารย์ลงใจตรงไหน ลงใจที่ว่าความรู้อันนั้นเป็นมรรคไง สิ่งที่เป็นมรรคไหม เขาบอกในหนังสือพิมพ์นะ ที่ไปประชุมวัดยานนาวาบอกเขาเป็นนักปฏิบัติ เขาเป็นคนที่รู้วาระจิตของคน เขามีความรู้อย่างนั้น มันเข้ามรรคตรงไหน

มันไม่มีมรรค มันเป็นไปไม่ได้ การรู้วาระจิต การรู้ต่างๆ เวลาครูเขาก็รู้ได้ ครูเขาทายใจนักเรียน เขาก็ทำของเขาได้ เขาสอนนักเรียนมานี่เขาจะรู้ว่านักเรียนควรจะทำอย่างไร เขาคาดการณ์ได้ เขาเป็นไปได้

มันแก้กิเลสไหมล่ะ แต่ เห็นไหม เณรน้อยเธอสอนพระโปฐิละ เห็นไหม ต้องมีการเชื่อไหม ถ้าความเชื่ออันนี้ให้ลงน้ำก่อน ถ้าลงน้ำหรือไม่บอกให้หยุดก็ต้องหยุด พอมีความเชื่อแล้ว นี่คัมภีร์เรียนมามหาศาลเลย พระไตรปิฎกนี่เรียนมาจำได้หมด สอนลูกศิษย์เป็น ๕๐๐ นะ ใครติดตรงไหนก็มาสอนได้นะ

แต่เวลาเณรน้อยสอนพระโปฐิละ เปรียบร่างกายนี่เหมือนจอมปลวก จอมปลอก มันมีเหี้ยอยู่คือกิเลสมันอยู่ในหัวใจของเรา ในจอมปลวกนั้นมีรูอยู่ ๖ รู เหี้ยตัวนั้นจะออกหากินตามรูนั้นตลอดไป ให้ปิด ๕ รู ให้ปิดช่องทางของทางออกทั้ง ๕ ช่องทาง ให้เหลือช่องทางหนึ่ง แล้วเราตั้งสติคอยจับตัวเหี้ยตัวนั้นไว้ เราจะจับตัวนั้นได้ นี่ฝึกฝนกันมาตั้งแต่ ตั้งสติคำบริกรรมเข้ามา

เวลาท่องจำเราก็ท่องจำกันไปหมดนะ เรารู้ไปหมดๆ แต่เรารู้เป็นสมบัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธนาคารนี่เขามีเงินเป็นหมื่นๆ แสนๆ ล้านในธนาคารเป็นเงินของใคร เป็นเงินของชาวบ้านที่เขาฝากธนาคารไว้ ไม่ใช่เงินของเราเลย ถ้าเงินของเราในบัญชี เราบัญชีเราฝากไว้มากไว้น้อยมากนั้นเป็นเงินของเรา เห็นไหม แล้วเราเข้าไปในธนาคารนี่เงินทับตายนะ มีมหาศาลทับเรา เราก็ตายเพราะเงินมหาศาลเลย

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในตู้พระไตรปิฎกต่างๆ เลย แล้วธรรมะนอกพระไตรปิฎกที่ว่าใบไม้ในป่าอีกมหาศาลเลย มันจะทับเราตาย เห็นไหม ทับเราตายเพราะเราไม่รู้สิ่งนั้นเลย เราเอาสิ่งนั้นมาแอบอ้าง เอาสิ่งนั้นมาเป็นนะ รู้วาระจิต รู้วาระจิตมันเกี่ยวอะไรกับมรรคล่ะ รู้วาระจิตมันเป็นความรู้อันหนึ่ง หมอดูเขาทายกันเขาก็รู้วาระจิตอันนั้น แต่มรรคที่ว่ามันเป็นภาวนามยปัญญานี่เป็นสภาวะแบบไหน ในการประพฤติปฏิบัติ ประพฤติปฏิบัติเพื่ออะไร ประพฤติปฏิบัติเพื่อชำระกิเลส ไม่ใช่ประพฤติปฏิบัติเพื่อส่งเสริมกิเลส ฉันเป็นผู้ประพฤติปฏิบัติ ฉันรู้มากว่า ฉันมีความรู้เหนือกว่า

ความรู้เหนือกว่า เห็นไหม มานะ ๙ เราเสมอเขา เราสำคัญตนว่าเสมอเขา ก็ผิด สำคัญตนว่าต่ำกว่าเขา สำคัญว่าสูงกว่าเขา เราสูงกว่าเขาสำคัญว่าสูงกว่าเขา สำคัญว่าเสมอเขา สำคัญว่าต่ำกว่าเขา เราต่ำกว่าเขาสำคัญว่าต่ำกว่าเขา สำคัญว่าเสมอเขา สำคัญว่าสูงกว่าเขา มานะ ๙ มานะ ๙ นี้เป็นสังโยชน์เบื้องบนถึงจะตัดตัวตนอันสุดท้ายได้ เราความรู้เสมอเขา เราสำคัญตนก็ผิดแล้ว ถึงความรู้เสมอกันมันก็เป็นเรื่องของเขา เรื่องของเรา เห็นไหม

เรื่องของเขาคือความผิดพลาดของเขาก็เป็นของเขา ความถูกต้องของเขาก็เป็นประโยชน์ของเขา แต่เรื่องของเราก็เป็นเรื่องของเรา เราเสมอเขาแล้วเราต้องไปทำตามเขาได้อย่างไร เขาจะพัฒนาขึ้นหรือเขาจะเลวลง อันนั้นมันก็เรื่องของเขาใช่ไหม ถ้าเรื่องของเรานี่ เราเสมอเขาในความเสมอเขา แต่ถ้าเราทำพัฒนาขึ้นไป เราจะสูงกว่าเขาใช่ไหม ทำไมเราต้องไปเสมอเขา ทำไมเราต้องไปยึดกับเขา ทำไมเราต้องไปยุ่งกับเขา เห็นไหม

ในการพัฒนา ในการประพฤติปฏิบัติในหัวใจของเรา เราบอกอย่างนี้เป็นลัทธิเห็นแก่ตัว อย่างนี้เป็นการเอาตัวรอด เห็นไหม ไม่ช่วยสังคม

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่นะออกเป็นกษัตริย์ จะได้ปกครองอยู่แล้ว จะได้ครองราชย์อยู่แล้ว ออกบวช เห็นไหม แล้วเข้าป่าไป ๖ ปีนี่พยายามเอาตนเองให้รอดก่อน ถ้าเอาตนเองให้ไม่รอด เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ตรัสรู้เป็นพระอรหันต์ นี่ไปในลัทธิต่างๆ ไปตามที่ศาสดาเขาปฏิญาณตนว่าเป็นพระอรหันต์ ก็ไปศึกษากับเขา ไปศึกษาแต่ไม่สามารถกล่าวแก้คำจาบจ้วง หรือกล่าวแก้คำต่างๆ หรือโต้เถียงกับเขา เห็นไหม ยอมรับเพราะตัวเองยังไม่มีความรู้จริงไง

แต่พอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ตอนพุทธกิจ ๕ ตอนเช้านี่เล็งญาณดูสัตวโลกก่อน แล้วออกบิณฑบาต เห็นไหม ถ้าเวลายังเหลืออยู่จะไปในนิครนถ์ ในลัทธิต่างๆ จะไปโต้เถียงธรรมะไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะชนะตลอด นี่พอมีธรรมขึ้นมาในหัวใจถึงจะโต้เถียงกับเขาได้ ถึงจะสั่งสอนเขาได้ ถึงกับเอาลัทธิของเขาทั้งลัทธินะ มาบวชในศาสนาพุทธเรามหาศาลเลย

นี่ไงถึงบอกการเห็นแก่ตัวไง ถ้าว่าเราเอาตัวเราก่อน เราเอาใจของเราก่อน เป็นการเห็นแก่ตัว เพราะเราเห็นแก่ตัว เราเอาตัวรอดก่อน เพราะถ้าเราไม่มีวิชาการ เราไม่มีความรู้ เราไม่เข้าใจสิ่งใดๆ เลย เราจะเอาอะไรไปสอนเขา ถ้าเราไม่มีสิ่งใดไปสอน เราจะเอาอะไรไปสอนเขา ก็จูงกันไง คนตาบอดจูงคนตาบอดนะ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมก่อน หลวงปู่มั่นบอกในมุตโตทัยทองคำในเหมืองกับทองคำบนร้าน ทองคำที่บริสุทธ์ เห็นไหม เหมือนกัน ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่เป็นทองคำ แต่เวลามันอยู่ในเหมืองนี่มันเปื้อนไปด้วยดิน ดินกลบมันไว้ อะไรกลบมันไว้ นี่เหมือนกัน ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นทองคำ แต่กิเลสของเรามันมักมาก มันอยากใหญ่ มันเอาธรรมะนี้มาอ้างอิง เอาธรรมะนี้มากดขี่เขา เอาธรรมะนี้เป็นพื้นฐาน เห็นไหม ฉันเป็นผู้ปฏิบัติธรรม ฉันเป็นผู้ปกครอง ฉันเป็นผู้ใหญ่กว่า แต่ไม่เคารพ

ถ้ามีการเคารพ เห็นไหม เราจะไปปกครองสงฆ์ได้อย่างไร เราเป็นไวยาวัจกร เราต้องบริหาร ต้องส่งเสริม ส่งเสริมให้ผู้ที่เขาประพฤติปฏิบัติ ไม่ใช่ไปบัญชาการเขา ไม่ใช่บังคับเขา ไปบังคับเขา ไปสั่งเขา มันจะเป็นไปได้อย่างไร ทิฏฐิเขาก็ต้องเกิดขึ้นมา เห็นไหม

ครูบาอาจารย์เวลาสอนลูกศิษย์กัน จะทำอย่างไรให้ทิฏฐิมานะนี้เบาลง เบาลงเพื่อจะให้จิตนี้มันสงบเข้ามาให้ได้ จะใช้อุบายวิธีการขนาดไหน จะเป็นอุบายนะ จะต้องอุบายตลอด เวลาครูบาอาจารย์สอนศิษย์สอนกันอย่างนั้น ไม่ใช่มาสั่งบังคับบัญชา เป็นบังคับบัญชาไม่ได้ แล้วแต่มันธาตุขันธ์ด้วย ธาตุขันธ์คนเข้าหากันจริตนิสัยตรงกัน มันก็จะฟังกัน ถ้าจริตนิสัยไม่ตรงกัน มันก็ไปหาอาจารย์องค์อื่น ครูบาอาจารย์องค์อื่นมีมากไป จริตนิสัยต่างๆ กันไป

พระสารีบุตร ลูกศิษย์พระสารีบุตรนี่มีปัญญาหมดเลย ลูกศิษย์พระโมคคัลลานะฤทธิ์หมดเลย ส่วนที่มีฤทธิ์ชอบไปทางฤทธิ์ เพราะฤทธิ์นี่มันใช้คำบริกรรมให้จิตสงบเข้ามา แล้วถ้าไปเป็นลูกศิษย์พระสารีบุตร พระสารีบุตรให้ใช้ปัญญาอย่างนี้มันก็ไม่ก้าวเดิน มันก็ไม่พัฒนา เห็นไหม นี่มันถึงว่าจริตนิสัยตรงกับครูบาอาจารย์องค์ใดก็จะไปองค์นั้น แต่ครูบาอาจารย์ก็ต้องรู้จริง ถ้าครูบาอาจารย์รู้จริงเป็นคนที่ว่าไม่ตาบอดจะไม่พาลูกศิษย์จมน้ำแน่นอน จะไม่พาลูกศิษย์วนอยู่ในวัฏฏะนี้แน่นอน จะพาลูกศิษย์ออกจากวัฏฏะๆ

มันถึงว่า ต้องส่งเสริมตรงนี้ให้ธรรมเป็นใหญ่ ให้ธรรมและวินัยเป็นใหญ่ ไม่ใช่ผู้ปกครองเป็นใหญ่ ผู้ปกครองก็ต้องตาย สิ่งต่างๆ ต้องตายไปทั้งหมด สรรพสิ่งโลกนี้มันจะคงที่ไปไม่ได้ แต่ธรรมวินัยนี้จะคงที่ตลอดไป ธรรมวินัยคงที่ตลอดไป

พระศรีอริยเมตไตรยก็จะมาตรัสรู้ธรรมและวินัยอย่างนี้เหมือนกัน นี่สัจธรรมอันนี้มีอยู่โดยดั้งเดิม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าธรรมมีอยู่โดยดั้งเดิม เรามารู้ธรรมสิ่งที่มีอยู่ เห็นไหม สิ่งที่มีอยู่เป็นสาธารณะ เป็นสมบัติสาธารณะ แต่ถ้าใจที่เข้าไปรู้นี่เป็นสมบัติส่วนตนอันนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพระอานนท์ เห็นไหม พระอานนท์ถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า

“พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้วนี่ธรรมะจะหมดเขต หมดสมัยเมื่อไหร่”

“อานนท์ เราตายไป เราเอาธรรมของเราไปเท่านั้น เราไม่ได้เอาธรรมของคนอื่นไป ไม่ได้เอาของสิ่งใดไป ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมโลกนี้จะไม่ว่างจากพระอรหันต์เลย”

กาลเวลาจะมาลบล้างสิ่งนี้ไม่ได้ พระศรีอริยเมตไตรยจะมาตรัสรู้ข้างหน้า ก็สิ่งที่ว่าอนาคตข้างหน้าก็ยังตรัสรู้สิ่งนี้ได้ ในปัจจุบันก็ตรัสรู้ได้ ในอดีตที่ตรัสรู้มาแล้วก็มีได้ สิ่งนี้มันเป็นไปตลอดเห็นไหม สิ่งนี้มีอยู่โดยดั้งเดิม แต่ความละเอียดอ่อนของมันที่จะเข้าไปหาทะลุสิ่งนี้ มันถึงเป็นสมบัติของใจดวงนั้น ใจดวงนั้นเข้าถึงธรรมอันนี้ ใจดวงนั้นถึงจะเป็นธรรมอันนี้ขึ้นมา

ถ้ารู้สภาวธรรม เห็นไหม ความสว่างกระจ้างแจ้งในหัวใจนั้นไม่มีกิเลสในใจดวงนั้น แล้วมันจะมีความผิดพลาดจากใจดวงนั้นไปได้อย่างไร ในเรื่องอริยสัจนะ แต่ในเรื่องความเป็นไปของโลก เห็นไหม พระจักขุบาลนี่เป็นพระอรหันต์แต่ตาบอด แต่เวลาเดินจงกรมอยู่เพื่อวิหารธรรม เหมือนเครื่องยนต์ เครื่องยนต์เราจอดไว้ รถเราจอดไว้นี่มันจะมีแต่พังกับพังอย่างเดียว เครื่องยนต์เราจอดไว้ รถเราเก็บไว้ เราต้องอุ่นเครื่อง เราต้องคอยดูแลรักษา

พระอรหันต์ก็เหมือนกัน ในเมื่อมีขันธ์มีจิตอยู่ในหัวใจ ขันธ์มีเห็นไหม ขันธ์นี้เป็นภาราหเว ปญฺจกฺขนฺธา ขันธ์นี้บริสุทธิ์ผุดผ่อง แต่ในเมื่อมันเป็นภาระกันเหมือนเครื่องยนต์เขาก็ต้องอุ่นเครื่องให้เครื่องยนต์นี้มันอยู่สุขสบาย ให้น้ำให้ไฟ ให้ไฟเดินสะดวก ให้น้ำเดินสะดวก ร่างกายนี้ก็เหมือนกัน วิหารธรรมพระอรหันต์ที่เดินจงกรมอยู่ ที่ภาวนาอยู่ เพราะเหตุนี้ต่างหาก อิทธิบาท ๔ ผู้ใดดูดวงจิตอยู่นี่จิตวิมังสา พิจารณาใจอยู่จะอยู่อีกกัปหนึ่งก็อยู่ได้ จะอยู่ขนาดไหนก็อยู่ได้ เพราะจิตดวงนี้มันสามารถควบคุมได้

แต่เครื่องยนต์ไง ร่างกายนี้มันต้องบริหารมัน เพื่อจะความเป็นอยู่เป็นสุข เห็นไหม นี่วิหารธรรมของพระอรหันต์เขา แต่นี่เราผู้ประพฤติปฏิบัติเราต้องพยายามสร้างสมของเราขึ้นมา นี่เห็นไหม แม้แต่พระอรหันต์สิ่งที่ว่าอริยสัจนี้คงที่ไม่มีความผิดพลาดแน่นอน แต่พระจักขุบาลเดินจงกรมอยู่ นี่สัตว์กรรมของเขา เขาบินมาของเขา พระจักขุบาลเหยียบสัตว์นี่ตาย พระไปรายงานองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า

“พระจักขุบาลเป็นอาบัติปาจิตตีย์ เพราะทำชีวิตสัตว์ให้ตกร่วง”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “ไม่เป็น”

“ไม่เป็นเพราะอะไร”

“เพราะพระจักขุบาลนี้เป็นพระอรหันต์ไม่มีเจตนา ไม่มีสิ่งต่างๆ ไม่มีใจ ใจนี้วิมุตติหลุดพ้นสมมุติไม่มีในใจนั้น ใจนี้วิมุตติหมด มันไม่มีเจตนา ไม่มีผู้กระทำ ไม่มีสิ่งต่างๆ มันถึงไม่เป็นอาบัติ พ้นจากอาบัติทั้งหมด ไม่มีอาบัติจากใจพระอรหันต์ทั้งหมดเลย นี่ความผิดไม่มี แต่กรรมของสัตว์นั้นมี กรรมของสัตว์นั่นบินมาตกที่นั่นให้พระจักขุบาลเหยียบ”

พระจักขุบาลนี่สักแต่ว่าไง สอุปาทิเสสนิพพาน เศษส่วนของร่างกาย สิ่งที่ครองโลกอยู่ พระอรหันต์อยู่ในจิตดวงนั้นครองร่างอย่างนี้อยู่ ใจดวงนั้นบริสุทธิ์ผุดผ่อง เห็นไหม จนกว่าวันที่สิ้นวันที่ตายไป นั้นอนุปาทิเสสนิพพานคือวิมุตติล้วนๆ วิมุตติออกไป

แต่ในเมื่อพระอรหันต์ยังมีชีวิตอยู่ เหมือนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๔๕ ปีที่สั่งสอนโลกอยู่นี่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ แล้วสิ่งนี้ธรรมะที่สั่งสอนมา สั่งสอนออกมานี่เป็นบัญญัติ บัญญัติก็สมมุติอันนี้ สมมุติสื่อให้พวกเราเข้าใจ สมมุติให้เราเข้าใจ เราจะได้เดินตามได้

ผู้ที่มีดวงตาของโลก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ดวงตาของโลกส่องแสงสว่างให้กับพวกเราก้าวเดินไป เราถึงเชื่อธรรมเชื่อวินัยจะไม่เชื่อคนหัวดำหัวหงอก ไม่เชื่อ เชื่อแต่พระเชื่อแต่ครูบาอาจารย์ของเรา นี้คือธรรมวินัยในสงฆ์ สงฆ์ต้องตั้งสงฆ์ สงฆ์ต้องเป็นไป จะให้ประพฤติปฏิบัติก่อน ประพฤติปฏิบัติอะไร เอ็งรู้วาระจิต รู้วาระจิตอะไร

ถ้าพูดถึงมรรคอริยสัจจัง ภาวนามยปัญญาคืออะไร เขาข่มขี่ได้ต่อผู้ที่ว่าเขาไม่ได้ประพฤติปฏิบัติไง เขาข่มขี่ได้ต่อผู้ที่ไม่รู้จริงไง แต่เขาไม่กล้าชนกับครูบาอาจารย์ของเราโดยตรงไง สิ่งที่เขารู้นะมันอึ่งอ่าง มันเป็นความรู้ของโลกียะ ความรู้ของกะลาครอบ เป็นความรู้ของในขันธ์ เป็นความรู้ของกิเลส เป็นความรู้กิเลสพาใช้ มันเป็นไปไม่ได้

แต่ถ้าภาวนามยปัญญาเกิดขึ้นมา อริยสัจเกิดขึ้นมา ทำไมไม่มาสั่งพระป่าให้ภาวนาล่ะ ทำไมไปสั่งที่วัดของเขาให้ภาวนาล่ะ มาสั่งพระป่าภาวนาซิ ภาวนาอย่างไร เอ็งภาวนาอย่างไร ภาวนาให้ถูกต้องภาวนาอย่างไร เอ็งรู้ขนาดไหนเรื่องการภาวนา เอ็งก็ไม่รู้ แต่เขาไม่กล้ามาสั่งการพระป่า เพราะครูบาอาจารย์เรารู้จริง สิ่งที่รู้จริงน่ะดวงตาสว่าง ไม่ใช่ดวงตามืดมนอย่างนั้น เขาดวงตามืดมนเขาก็ไปกลบคนที่ดวงตาที่มืดมนกว่า แล้วเขาก็ข่มขี่อย่างนั้น นั้นเป็นการบริหารของเขา

ธรรมและวินัยกับโลกมันจะเป็นไปประสาอย่างนั้น เราถึงต้องตื่นตัว แล้วเราดูใจของเราเห็นไหม มานะ เราเสมอเขา เราไม่สำคัญตนว่าเราเสมอเขา เราเสมอเขาเราก็ดูใจของเรา เพราะเราเป็นมนุษย์เหมือนกัน เราดูใจของเรา เราพัฒนาใจของเรา เราเป็นชาวพุทธของเรา เราต้องรักษาทรัพย์สมบัติของเรา อริยทรัพย์คือภายใน สิ่งนี้เป็นประโยชน์กว่าเรานะ เราสร้างสมบุญญาธิการของเรา ทาน ศีล ภาวนา เอวัง